วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หนังสือเรื่อยเปื่อย

คือ ตอนนี้ 12:42 น. วันที่ 29/10/57 ที่เขียนทำไมเนี่ย แต่ไม่รู้ว่ามันบันทึกไว้ตรงไหน คือ หาไม่เจอ  ขอ post ไอ่นี่ไว้หน่อย ปัญหาคือมือถือ เมมเต็มครับ สาเหตุจากมัวแต่ถ่ายรูปหนังสือที่อยากได้ ขอเอารูป มาแปะไว้ก่อน

1. Leading the starbucks way เล่มนี่ได้อ่านตอนที่ แปลงานบริหารของน้องคนหนึ่งซึ่งเอาบทความมาจากในนี้ เลยอ่านรวดทั้งเล่ม

2.  Vagina ของ Naomi wolf ไม่ได้อ่าน ไม่เคยอ่า แต่ว่า เห็นชื่อแล้วอยากอ่าน ยังคงไม่ได้อ่าน
3. The Darwin Economy , Robert H.Frank ยังไม่ได้อ่านตามเคย
4. Winning at Innovation the A-to-F model , Fernando tries de bes and Philip Kotler เห้ยถ่ายมาตอนไหนวะ ทำไมลืม คือเดี๋ยวคงมีที่ลืมอีกเยอะเลย
5. The innovator's DNA , Jeff Dyer, Hal Greggersen and Clayton M. Chistensen เล่มนี้มีแล้ว อยู่ใน Kindle นอนอืดอยู่ เหมือนเคยอ่านไปหน่อยนึง 

6.  DK book set คือมัน ดีไม้ ไอ่เซตนี้อ่ะ แต่มีนสวยมากเลย แต่เหมือนต้องอยู่ด้วยกันที่บ้านพกไปไหนมาไหนลำบาก ประเด็นยังไม่มีซักเล่ม ไม่เคยอ่าน

7. Why "A" students work for "C" students คือตอนที่เห็นเล่มนี่ คือ ผมก็เคยอ่านงานก่อนของแกนะ พวก พ่อรวยสอนลูก ปลื้มมาก มาย แต่ว่าด้วยนิสัยชอบสอดรู้สอดเห็นเคย seach เหมือนกันว่าสรุปไอ่พ่อรวยแกเป็นใครวะ จนไปเจอบทความบางส่วนเค้าก็เคยถาม Robert เหมือนกัน ตอนนั้นที่อ่านจับใจความได้ว่า Robert : มันไม่สำคัญหรอกครับว่าเค้าจะเป็นใคร แต่เค้าให้ข้อคิดคุณได้ .... เอิ่ม สรุปคือ มึงแต่งเรื่องเหรอ อย่าพึ่งสรุปครับ ผมยังไม่ได้หาต่อ แต่ถึงมันจะแต่งถ้ามันมาได้ขนาดนี้มันน่าสนใจ แต่ผมยังไม่หายสงสัยนะ ไว้จะ review 
8.  The monocle guide to better living อะไรไม่รู้อ่ะ แต่ออกแบบดี เลยถ่ายมาก่อน

9. The everything store นอนเล่นอยู่ใน kindle เหมือนกัน เลย ห้า ๆๆๆ ๆ
10. เอิ่มถ่ายติด ๆมา ไม่รู้ว่าอยากอ่านป่าวเนี่ย

11. เคยถ่ายไว้ตอนไหนก็จำไม่ได้ มันต่างจาก Buyology ยังไงอ่ะ
 คือระหว่างพิมพ์ไปนี่ ก็คิดนะ ว่าทำไมทำไมเนี่ย แต่ คือ ว่าเมม มือถือมันก็เต็ม แล้วปกติเวลาถ่ายรูปหนังสือที่อยากอ่าน ไม่ว่าจะเป็นจากหน้าปก หรือว่าการแนะนำเนี่ย พอหลังถ่ายไปได้ไม่นาน ก็ลืมไปแล้วว่าอยากอ่าน หรือว่าอยากได้  จริง ๆถ้ามีใครเป็นแบบนี้เหมือนกัน มันก็มี app อยู่นะครับในการที่จะจดชื่อหนังสือ แต่ผมไม่รู้ว่าภาษาไทยมัน work ไม้ เพราะว่ามันเป็นของต่างประเทศ แล้วก็ไม่ได้ มี แค่ app เป็นแบบ web ก็มีครับ ตัวเดียวกันเลย ชื่อ "Goodreads" ซึ่งเราสามารถที่จะ search หาชื่อหนังสือแล้ว save ไว้ได้ ว่า "อยากอ่าน" "อ่านแล้ว" หรืออะไรก็แล้วแต่


ถ้าเป็น app ก็ หน้าตาประมานนี้

คือผมเคยใช้อยู่ช่วงหนึ่งแต่มันไม่ work สำหรับผมเลยอ่ะ สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดเข้าไปดูอยู่ดี เลยว่าไหน ๆก็เขียน Blog ละเอามาไว้ในนี้แหละ อย่างน้อยก็ยัง comment ได้ว่าทำไมตอนนั้นอยากได้ หรือว่าไปเห็นที่ไหน อย่างวันนี้ ก็เดินร้านหนังสือนะครับ ได้มาสองเล่ม คือ 
1. 
2.

 คือ ผมตัดสินใจซื้อสองเล่มนี้หลังจากที่ได้อ่าน 
หนังสือแบบนี้เลยครับที่เหมาะกับคำพูดที่ว่า "Don't judge the book by its cover" พูดกันตรง ๆถ้าไม่มีคนแนะนำ หรือถ้าคนแนะนำ มันแนะนำได้ไม่น่าสนใจพอ ไม่มีวันที่ผมจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาได้เลย เพราะว่าหน้าตามันไม่มีอะไรดึงดูดเลยครับ ส่วนหัวข้อเรื่องก็ เวอร์ซะไม่มี แต่ว่าพอได้อ่านแล้ว มันเกินคำบรรยาย เรื่องแบบนี้ต้องลองอ่านเองครับผม





นี่มันยุคของ IT

   ช่วงก่อนผมอ่าน The Innovators อย่าเรียกว่าอ่านเลยดีกว่า แค่ เอามาเปิดมองผ่าน ๆได้ไม่ถึง 10 หน้า
ซึ่งคนเขียนก็คือ Walter Isaacson นักเขียนที่ปกติแกจะดังจากการเขียนอัตชีวประวัติของคนดัง ๆซึ่งปกติผมก็ไม่ได้อ่านหนังสือแนวนั้นหรอกครับ แต่ได้มีโอกาสมารู้จักก็เพราะว่าช่วงที่บ้า apple มาก ๆ(มันมีสาเหตุนะครับที่ทำให้ผมบ้าคลั่ง เอาไว้อีกเช่นเคย) เห็นว่ามีหนังสือ Steve job ออกมาในช่วงที่ steve เสีย ซึ่งมันทำให้ Walter Isaacson เข้ามาอยู่ในสายตาผมครับ และที่มันก็มีประเด็นอีกอย่างคือ ปกติ Isaacson เค้าจะเขียนประวัติคนที่เค้าเห็นว่าสำคัญ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตายไปแล้ว ซึ่งตอนที่เขียนเล่ม Steve job เนี่ย คือ Job ยังไม่ตาย แล้ว Isaacson ก็ไม่ได้จะเขียน เอาเป็นว่า Steve ไปบอกให้เค้ามาเขียนหนังสือให้ตัวเอง เพลีย! เบา ๆ แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเล่มนี้เลยครับ คือบังเอิญว่าผมเห็นเล่มนี้เข้าเลย เริ่มอ่านครับ แต่ก็ไม่ได้อ่านไปไกลนะครับ ได้ไม่กี่หน้าแต่ว่ามันไปถึง ประวัติของ Ada ซึ่งมีความสำคัญเกี่ยวกับวงการ computer โดยที่ Ada เป็นผู้คิด ภาษา computer(มั้ง ไม่รู้คืออ่านไม่ถึงไหน แต่เคยจำได้คร่าว ๆ) แล้วก็ได้มีการพูดถึง Chales babage ซึ่งเป็นคนที่เก่งมากในยุคนั้น ซึ่งเป็นผู้คิด เครื่องจักรที่สามารถคำนวนได้ ครับ 
     คือมันดึกแล้วอ่ะครับ ตอนนี้ ห้า ๆๆๆ ๆพิมพ์ไม่ทัน แน่ ๆง่วงมาก คือ ขอ post หนังสือติดไว้ก่อนละกัน มันเกี่ยวกับหลายเล่มมากเลย เดี๋ยวคงมาประติดประต่อวันหลังได้
  
    ขอเอาหน่อยละกันว้า คือ อ่าน ไปเจอ babbage ก็เลยสงสัยความ Computer นี่มันเริ่มมาได้อย่างไร ก็เลยลอง หา พวกประวัติ การสร้างคอมอ่านในเน็ต เจ๋งมาก ... เห้ยมาตรงนี้ได้ไงว้า อ่อ จะบอกว่าไอ่เล่มนี้มันยาว อ่านแล้วมันเหนื่อย แล้วระหว่างอ่านดันคิดถึง steve jobs คือ หนังสือ steve jobs ตัวนี้ ยังอ่านได้แค่บทนำเลยครับ ไม่รู้เพราะว่า เรื่องที่ steve ไปขอให้เค้ามาเขียนรึเปล่า ทำให้ผมคิดว่ามันไม่ได้น่าอ่านขนาดนั้น 

เอาเป็นว่าผมเลยไปหยิบหนังสือ อีกเล่ม มาอ่านซึ่งเกี่ยวกับ steve jobs เหมือนกัน เล่มนี้ครับ ผู้เขียน คือ Agalico 2.2 ใครไม่รู้อ่ะ แต่เขียนดีมากเลยโดยรวม อ่านรวดเดียวจบปุ๊บ เร่ิมอยากอ่านประวัติ steve job มากขึ้น เลย โดยในเล่มนี้เค้าก็มีการพูดถึงหนังสือที่เกี่ยวกับ steve และ apple ที่น่าสนใจอีกสองเล่ม ผมว่าจะไปหามาอ่านด้วย (Hyper ไปป่าววะ คือ ของ walter ยังไม่จบเลย)
หนังสือสองเล่มนั้นคือ
1.  Apple confidential 2.0

2.  the mac bathroom reader

ซึ่งผมว่าจะต้องไปหามาอ่านอีกครับ แต่ตอนนี้ผมยังคงสงสัยว่า คอมพิวเตอร์ มันสร้างมาได้ยังไง ยังไม่รู้ว่าจะหาหนังสือเล่มไหนมาอ่านเลย อาจจะต้องตามหาต่อไป และผมคิดว่าผมอาจจะเขียน blog ของ มันอีก ไม่รู้ว่าจะไหวป่าว แต่อย่างน้อยวันนี้ผมก็ได้เห็นเครื่อง Difference Engine 2.0 ของ Chales babage ซึ่ง
น่าจะเป็นเครื่องคำนวนในยุคแรก ๆเลยที่สามารถคิดคำนวนแทนคนได้ เห็นเค้าบอกว่ามันสามารถแยกตัวประกอบได้ ด้วยแหละ แล้วที่ดูจากคลิป นี่เห็นตารางแล้วมันคุ้นตามากเลย หรือว่าไอ่นี่คือเครื่องคิดค่า  trigonometry เนี่ย ...




วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

และแล้ว...

  คือหายไปกี่วัน เนี่ย คือไปนั่งนับวันล่าสุดที่ Post หนังสือ คือวันที่ 21/10/57 แล้ววันนี้วันที่ 28/10/57 คือหายไปแบบ 7 วัน สารภาพเลยว่าเคยคิดจะพิมพ์หลายครั้งแล้วก็คิดว่า แปปนึงเดี๋ยวค่อยทำ แปปนึงตลอดเลย คือมันจะมีเรื่องอะไรที่ผมจะไม่ใช้คำนี้ไม้เนี่ย แล้วมันก็ลืม แล้วมันก็เลยมาถึง ตอนนี้ แต่วันนี้แปลกเหมือนมันมีอารมณ์พิมพ์ถึงแม้จะมีหลาย ๆอย่างให้ทำ แต่ผมกลับพิมพ์ได้ อะไรของมันวะเนี่ย

    ช่วงก่อนที่วุ่น ๆนี่อาจเพราะว่าผมนั่งเครื่องบินบ่อย คือเดือนนี้ผม นั่งเครื่องไปกลับเชียงใหม่ 3 ครั้งใน 3 อาทิตย์ คือเหนื่อยกับการเดินทางพอสมควร แต่ช่างมันตอนนั้นมีหลายเรื่องที่คิดได้ระหว่างการเดินทางอยู่ แต่ก็ในช่วงที่หายไปนี่ ผมอ่านหนังสือจบไป หลายเล่มอยู่นะครับเริ่มจากที่ช่วงนั้นซื้อ หนังสือมา 3 เล่ม
1. เด็กนอกคอก
2. คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดที่ปากซอย

3. 
  คือหยิบซื้อมาตามลำดับนี้เลยครับ แล้วผมก็อ่านมันจบตามลำดับนี้เลย คือเริ่มจากของ คุณเซ่ ลองอ่านดูแล้ววางไม่ลงอ่านจนจบ อันที่จริงระหว่างนั้นก็ไปแวะเล่มอื่นบ้าง แต่มันก็อยากกลับมาอ่านให้จบก่อน พออ่านจบเสร็จก็ตามมาด้วย ของคุณวริศ แล้วเล่มสุดท้ายคือของ เบ๊นซ์ แล้วที่เจ๋งคือบ่อยครั้งที่ผมอ่านหนังสือบนเครื่องบิน ถ้าสมาธิไม่ถึงระดับ หรือหนังสือไม่ดึงดูดพอ นี่มันจะปวดหัว มากเลยเวลาอ่านไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไม้ครับ อย่าว่าแต่อ่านหนังสือเลยครับ ทำ อะไรบนเครื่องบินมันก็ปวดหัวไปหมด อะครับ ฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม โอ้ยไม่ไหว แต่ว่าวันนั้นผมนั่งเครื่องบินไปเชียงใหม่ เริ่มอ่าน NYFT ตั้งแต่อยู่บน Taxi ออกจาก แถว BTS สีลม ไปดอนเมือง เดินไป Check in ตั๋ว นั่งรอขึ้นเครื่อง เดินขึ้นเครื่อง นั่งประจำตำแหน่ง จนเครื่อง Landing ผมเดินออกเครื่อง แล้วเดินออกจากสนามบิน คือมันจบตอนออกจากสนามบินพอดี แล้ว ผมเหมือนคนบ้า ไม้หละ คือบางทีนั่งอ่านไปก็หัวเราะไปเอง แต่ไม่ได้สังเกตว่าคนอื่นเค้ามีปฎิกริยายังไง แต่ว่าพออ่านจบก็ แบบ อืม หนังสือก็เฉย ๆนะ เบ๊น ก็เป็นการเล่าชีวิตที่เบ๊นไปเจอมา ก็ไม่เห็นมีไร (คือแต่แม่งวางไม่ลง) เห้อ ซึ่งตอนนั้นกลับไปเชียงใหม่ปุ๊บเวรแล้วไงหนังสือหมด คืออ่านมาหมดแล้วสามเล่ม จริง ๆก็มีอีกเยอะ แหละ ขนาดที่คุณ รวิศ แนะนำมา นี่ยังไม่ถึงไหนเลย แล้วผมเองก็มี Kindle ด้วยเอาไว้อ่านหนังสือ (เผื่อคนที่ไม่คุ้นกับ Kindle มันก็คือ E-book reader ชนิดหนึ่งนะครับ)
 หน้าตาประมาณนี้ ไว้ค่อยไปลงรายละเอียดกับมันละกัน เผื่อใครสงสัยว่าจะใช้มันทำไม ipad ดีกว่าไม้ (คือผมค่อนข้างจะเป็นสาวกแฮะ รู้สึกตอนพิมพ์ว่า  ipad ดีกว่าไม้ ในใจก็คิดว่าทำไมไม่พิมพ์ tablet หรือว่า samsung อะไรก็ว่าไป ช่างมันคือ ผม ชอบ apple อ่ะค่อยว่ากันอีก) คือจะบอกว่าหนังสือใน kindle นี่ก็มีมากมายก่ายกอง อ่านเดือนนึงไม่รู้จะหมดรึเปล่า แต่ที่รู้คือ มันอยู่มา สามปี เคยอ่านหนังสือใน kindle จนจบไม่กี่เล่มเอง เล่ม แรก คือ The last lecture
  เล่มนี้ดีมากเลยครับ ขอ แนะนำ อันที่จริงเค้ามี clip ใน youtube ด้วย คืองง ตัวเองว่าจะพิมพ์ทำไม มันเอา youtube มาแปะได้ 

  ซึ่งช่วงนั้นผมก็จำไมได้แล้วว่าผม อ่านอะไรต่อหลังจาก 3 เล่มนั้น เห้ย ! ผมพึ่งคิดออกว่าก่อนหน้า 3 เล่มนั้น หนังสือ เล่มแรกที่ผม ซื้อตอนที่ผมมากรุงเทพครั้งนี้ คือ คือ คือ "ดราม่าเอย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น" ของ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน

  อย่าหาว่าผมบ้านนอกเลยนะ คือมันคงออกมานานแล้วแหละ แล้วผมไม่เคยเห็นเลย ถึงเห็นก็อาจจะไม่ซื้อ แต่ว่าวันนั้นอยากได้ หนังสือเบา ๆอ่านเอาขำ ๆไว้อ่าน เลยซื้อ มาซึ่งตรงกันข้ามกับจุดประสงค์โคตร ๆคือกรูกะเอามาอ่านขำ ๆ จ่าแม่งเขียนไม่ขำ กลายเป็น ทฤษฏีว่าด้วย Fallacy ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งดราม่า แล้วผมก็เหมือนได้ค้นพบศาสตร์ใหม่ ที่แม่งคิดค้นตั้งแต่สมัยของ Aristotle เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ ดังนั้น อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปกโดยเด็ดขาด ... 

   ว่าแต่ช่วงนั้นผมอ่านหนังสืออะไรต่อ ผมเองก็จำไม่ได้แล้วหวะ คือปกติผมเป็นคนที่ความจำดีนะครับ ดีมากเลยด้วย แต่ว่ามันดีแค่ช่วงสั้น ๆ (T_T) แค่ อาทิตย์เดียวก็จำไม่ได้แล้ว คงจะเป็นเพราะว่ามันไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นอะไรมากมาย แหละมั้ง kkk( ความรู้ใหม่จากหนังสือของเบ๊น อยากรู้คงต้องไปอ่านเอง) 

  แล้วหลังจากที่ผมกลับมากรุงเทพอีกครั้ง เหมือนผมจะไปแค่ 2 วันเองครับช่วงนั้น ส่วนใหญ่ตอนนั้นกำลังบ้าภาษาคอม เลยคงไม่ได้อ่านหนังสือเยอะ หลังจากที่พูดไปด้านบน ผมก็เข้าแต่เว็บ  http://codecademy.com ซึ่งถ้าใครที่ไม่รู้จักผมขอบอกเลยว่ามันเจ๋งมาก สำหรับคนที่อยากเรียนภาษา computer เอาไว้ผมค่อยเขียนเกี่ยวกับเว็บนี้ละกัน  ขอแปะไว้ก่อน

ขอติดไว้ก่อนเรื่องเว็บนี้ แต่ก็ โพสรูปไว้ว่ามันมีหลายภาษา เออ แล้วก็ นั่นไม่ใช่ผมนะ คือผมเป็นคนไทย คืออันนี้หามาให้เห็นภาพเฉย ๆ แหะๆ พอพูดถึงเว็บนี้ก็มีแหล่งการเรียนรู้ online ที่ผมรู้จักอีก หลายที่เหมือนกัน ขอเขียนไว้ตรงนี้ก่อนละกันเท่าที่นึกออก ที่ใช้บ่อยช่วงนี้ คือ  http://udemy.com 
    เป็นอีกเว็บหนึ่งที่ใช้เรียน online ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับ computer แต่ที่ไม่เกี่ยวก็มีนะครับ ลองแวะ ๆเข้าไป ดู แต่เว็บนี้ไม่เหมือน Codacademy (อ่าน โค้ด แอ๊ค ได้ป่าว)  คือ โค้ด แอ๊ค มันฟรี หมดครับ แต่  Udemy มีทั้ง ฟรี และ เสียเงิน เช่นเดียวกับ อีก เว็บ คือ http://coursera.org อันนี้ก็มีทั้ง ฟรี และเสียเงิน แต่เว็บนี้ เหมือนจะจริงจังกว่า เพราะว่ามี เนื้อหากว้างมาก และมี ใบ certificate ให้ด้วย ไม่ได้กระแดะ พิมพ์อังกฤษ กลัวพิมพ์ไทยไม่ถูก

  อ่าวเห้ย เขียนว่า ฟรี คือ ทำไมหลาย course ที่กรูหา มันไม่ฟรี ฟร่ะ เห้อ! เดี๋ยวให้อีก 2 ที่ไว้ละกัน (อันที่จริงแม่งก็คิดออกแค่นี้แหละ เท่าที่ผมรู้ก็ใช้อยู่แค่นี้อ่ะ อันต่อไปที่แนะนำ คือ ของ apple เลยครับ ITunes U คือจะดูผ่าน iphone , ipad หรือว่าในคอม ผ่าน iTune ก็ได้ครับ


iTunes U นี่หลายหลายจริง ๆและเป็นของมหาลัยทั่วโลก เลย มีให้เลือก ไม่ได้มีครบทั่วโลก นะครับ คือ มันมีหลาย ที่ เอาไว้ก่อนนะจะมาทำ อธิบายรายละเอียด ให้ เหมือนวันนี้จะสร้าง Blog ของอนาคตไว้หลายอันอยู่นะเนี่ย หรือว่ามันเริ่มต้นแบบนี้ครับเนี่ย การที่เขียน Blog เนี่ย มันต้องพิมพ์ไปเรื่อย ๆแล้วคิดอะไรออกมาก็พิมพ์ ไว้รอ ผมทำไปเรื่อย ๆแล้วถ้าผมได้ข้อสรุปการเขียน Blog ผมจะบอกนะครับ ตอนนี้เดี๋ยว Post Web สุดท้ายไว้ให้ก่อนนะครับ https://th.khanacademy.org (มีภาษาไทยแล้วด้วย)
   คือเว็บนี้มักเป็นเว็บที่ผมจะแนะนำให้คนอื่นก่อนเสมอเลยครับ แต่ว่าเนื่องจากว่าผมไม่ค่อยได้เข้าเลยอ่า ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับ แต่ช่วงนี้ผมบ้าคอม ดูด้านบนเลยจะมีแต่เว็บสอนเกี่ยวกับ computer ซึ่ง Khanacademy ดีมาก ๆเลย โดยเฉพาะเด็ก ตั้งแต่ประถม ถึง ผู้ใหญ่ คือเค้ามีสอน พื้นฐานเกือบทุกวิชา ผมขอย่อแบบโคตร ๆเลยละกัน แล้วแปะ ไว้ก่อนจะมาทำ Blog ให้อีกทีนะครับ  คือผมเริ่มรู้สึกว่าพิมพ์ไปเดี๋ยวยาว เกิน ขอ แถมอีกอันละกัน อันนี้ไม่เชิงสอน แต่ว่าเป็น ....(คือเว้นไม่ได้ให้ตื่นเต้นนะ แต่ว่าไม่รู้จะบอกว่าไง) มันคือ Ted talks จะบอกว่ามันเป็นบรรยายก็คงได้มั้งแต่ผมว่ามันดีกว่านั้น http://www.ted.com


ตัว TED talks นี่ผม บอกเลยว่าผมไม่เคยเข้าเว็บมันเลย คือเข้า youtube แล้ว seach เอาตลอดเลย ไว้ผม ค่อยพูดถึง Ted talks อีกทีนะครับ เดี๋ยวอีกแล้ว โอ้ยเยอะหวะ!

  คือประเด็นที่จะเขียน Blog วันนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับไอ่เว็บที่ว่ามานี่เลย คือ ที่คิดไว้นะคือจะบอกว่า รู้สึกว่าหนังสือ เบ๊นอะมันเจ๋ง ทำให้ผมอ่านได้บนเครื่องบิน แล้ว หลังจากที่ผมกลับมากรุงเทพ แล้วไปงานหนังสืออีกครั้ง ผมได้เจอกับ เซ่ นักเขียนหนังสือ เรื่อง​"เด็ก นอก คอก"  คือ เค้ามาที่บูธเพื่อแจกลายเซ็นพอดี 
อยากบอกว่าผมไม่เคยขอลายเซ็นใครมาก่อนเลย นอกจากที่ต้องขอให้พ่อเซ็นใบลา ซึ่งโต ๆมาก็เซ็นเอง แล้วก็ไม่นับที่ต้องขอให้อาจารย์เซ็น เวลาทำงาน ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าการขอลายเซ็นนักเขียนไม่เห็นว่ามันจะสำคัญ หรืออยากจะทำตรงไหน แต่วันนั้นที่เจอ เซ่ นี่คืออยากขอลายเซ็นพี่เค้ามากเลย อาจจะเป็นเพราะว่าอ่านหนังสือเบ๊น New york first time ก็ได้ ขอโยนความดีความชอบให้พี่เบ๊นหมด เลย ที่แกบอกว่าแกเคยไปขอลายเซ็นนักเขียนที่แกชอบ ที่ new york รึเปล่า ที่สุดท้ายแกรอนานมาก นานจริง ๆนะ กี่ชั่วโมงผมจำไม่ได้ น่าจะมากกว่า 5 ชั่วโมง แล้ว คือที่ไทยมันไม่ต้องรอนานขนาดนั้นไงครับ ผมก็คิด ๆ อยู่ว่าจะขอลายเซ็นดีไม้ ระหว่างที่คิดนี่ ขาเดินเข้า บูธไปแล้ว เห้อชีวิต เดินเข้าไป พบกับความจริงว่า กรูไม่ได้เอาหนังสือมา ทำไงดีวะ แล้วพี่เค้าพึ่งเขียนหนังสือเล่มแรกอยู่เลย ง่ายมากไม่ต้องคิดเลย ซื้อใหม่ ใช่ครับ ซื้อใหม่ เลย (ไอ่ style การเขียนแบบนี้ นี่ได้มายังไงวะ ไอ่ .... ใช่เลยครับ..... โดยคำในช่องว่างเป็นคำเดียวกันเนี่ย มันช่วยให้การอ่านมันสนุก หรือการเล่ามันได้อรรถรสขึ้นเหรอเนี่ย) เอาเป็นว่าซื้อใหม่ แล้วก็เดินเข้าไป ขอลายเซ็น พร้อมกับบอกพี่เค้าว่า "พี่ครับ จริง ผมมีหนังสือพี่อ่านจบแล้ว ผมชอบหนังสือพี่มากเลย แต่ผมไม่ได้เอามา ผมขอพี่เซ็นเล่มใหม่ ให้ผมแทนละกัน" แล้วพี่เค้าก็บอกว่า "จริง ไม่ต้องซื้อก็ได้นะ" คือผมรู้แกอำ แต่ผมเหวอมาก คือ หนังสืออีกเล่มกรู อยู่เชียงใหม่ -*-  ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากที่พี่เค้าเซ็นให้ แต่ว่าบรรยากาศ ตอนนี้ผมได้อยู่ตรงนั้นกับนักเขียนที่ผมปลื้ม มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเลยครับ ต้องไปลองเอง คุณต้องลองหาโอกาสไปเจอคุณที่คุณปลื้ม คนที่คุณนับถือ แล้วบอกกับเค้าว่าเราชอบงานเค้า บรรยายไม่ถูก เหมือนกัน จากนั้นผมก็ได้ลายเซ็นมา ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร 555+ 
   แต่จริง ๆแล้ววันนั้นผมไปงานหนังสือเพื่อไปซื้อหนังสือใหม่ของ เบ๊น เพราะว่าเค้าออกเล่มใหม่ คือ The Real alaska กลายเป็นว่าผมได้ ลายขอลายเซ็น ครั้งแรก กับ นักเขียนที่พึ่งเขียนครั้งแรก คือก็ งง ตัวเองเหมือนกัน 


    หลังจากได้ ลายเซ็นมา ผมเกือบลืมไปเลยว่ามาซื้อหนังสือ the real alaska เลยต้องวกกลับไปซื้อหนังสือ ที่ไม่ได้ซื้อตั้งแต่แรก เพราะว่าผมรู้อยู่แล้วว่าผมจะมาซื้อมัน เลยไม่รู้ว่าจะรีบซื้อทำไม อยากเดินดูหนังสืออื่นไปเรื่อย ๆก่อน จะกลับค่อยไปซื้อหนังสือที่อยากได้ ขี้เกียจถือ คือ ประเด็นหลัก ซึ่งผมก็เดินไปซื้อหนังสือ the real alaska และด้วย นิสัย ไม่สิ สันดานส่วนตัว ไม่เคยซื้อหนังสือได้ทีละเล่มเลย ก็ถามเค้าว่ามีหนังสือเล่มไหน แนะนำไม้ครับ ก็เลยได้ I roam alone มาอีกเล่ม

  อันที่จริงผมก็กะจะซื้ออยู่แล้ว เพราะว่าผมเคยเห็น แวบ ๆผ่าน facebook เคยเห็น แบบ แว๊ป จริง ๆนะ ครับ แว๊ป แบบไม่ได้ดูเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร แต่ด้วยนิสัย(สันดานมันดูไม่คุ้นหู ขอไม่ใช้นะ 555+) ที่ไม่เคยซื้อหนังสือเล่มเดียว ก็เลยซื้อมาสองเล่ม จาก บูธนี้ ห้า ๆๆๆ ๆๆๆ แสดงว่ามันต้องมี บูธอื่น อีก ถูกเลยครับ ผมจำได้ว่ามี สำนักพิมพ์  Open world คือไม่เคยได้ยิน มาก่อน(แค่ตัวผมนะที่ไม่เคยได้ยิน คือเชียงใหม่ มันไม่ได้มีหนังสือเยอะขนาดนี้ ไว้เล่าให้ฟัง) แต่บูธนี้ หนังสือที่วางมันสวยถูกใจผม (Don't judge the book by its cover ผมรู้ครับ แต่ผมทำไม่ได้ จริง ๆ) ผมเดินวนมาหลายรอบ ละ แล้วเค้าก็มีหนังสือลดราคา น่าสนใจมากมาย เลยได้ มา 3 เล่ม คือ

1.

2. 
 สองเล่มนี้ได้มาเพราะ คำโฆษณาคนขาย คือเป็นคนเชื่อคนง่ายมาก ถึงตอนนี้อ่านถึงหน้าปก ทั้งคู่เลย T_T แต่เล่มที่สามได้มาเพราะว่ามันลดราคา และหน้าปก และหัวข้อมันน่าสนใจ
 3. 

 วันนั้นก็ได้มาแค่นี้แหละครับ (หลายคนอาจจะบอกว่าแค่เหรอ หลายก็อาจจะมองว่าแค่จริง ๆ) แล้วผมก็กลับ และแล้ว หนังสือทั้งหมดนั้นตอนนี้ ยังไม่มีเล่มไหนที่ผมอ่านเลย คือเป็นแบบนี้ตลอดเลยครับ เห็นว่าหนังสือมันน่าอ่าน แต่ซื้อมาก็ยังไมไ่ด้อ่าน เห้ยผมพูดผิด มันมีเล่มหนึ่งที่ซื้อมาวันนั้นแล้วอ่านจบ คือ 
I roam alone เล่มนี้ 

ทำให้ได้รู้จัก มิ้นท์​ในมุมมองที่เค้าเสนอ ได้รู้จักโลก ได้ทำให้ผมอยากไปเที่ยวรอบโลกมากขึ้น คือเคยอยากไปอยู่แล้วกลับเป็นอยากไปมากขึ้นไปอีก แล้วผมจะเล่าให้ฟังนะครับ  วันนี้เลย จุดประสงค์ที่จะเขียน Blog คือจะบอกว่า 
1. หนังสือเบ๊นอ่านได้บนเครื่องบิน ไม่ปวดหัว
2. ผมได้ลายเซ็น เซ่ 

คือที่เหลือ คือน้ำ จริง ผมควรจะเอาจุดประสงค์ไปไว้ข้างบน แล้วบอกว่าด้านล่างไม่ต้องอ่านรึเปล่า เนี่ย แต่มันก็ทำให้ผมได้ข้อคิดเหมือนกันนะเขียน Blog ครั้งนี้ ว่า การที่เราทำอะไรบางอย่างเพื่อเป้าหมายบางอย่าง ระหว่างทาง เราก็ได้อะไรมาเยอะ เลย 



วันพุธที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2557

เขียน Blog ครั้งแรก !

     อาจจะเป็นเพราะว่าอ่านหนังสือ New York first time ของ เบนซ์ (ธนชาติ ศิริภัทราชัย) ที่พึ่งซื้อมาเมื่อวาน 14 ตุลา 57 มาจาก se-ed นี่ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 9 ก็ไม่ใช่ว่าพึ่งจะเห็นหนังสือถึงพึ่งซื้อมาอ่าน จริง ๆก็เห็นมาตั้งแต่ หลังจากที่ดู Clip Bangkok first time ช่วงแรก ๆเมื่อนาน มาแล้ว แต่ตอนนั้นเห็นแล้วก็ไม่คิดที่จะซื้อ ใจหนึ่งก็อยากอ่าน แต่มันก็ไม่อยากซื้อ อาจจะเพราะรู้สึกว่ามันเป็นการสร้างกระแส จากตัวคลิป รึเปล่า ! แต่ก็ต้องยอบรับว่าคลิป Bangkok first time  มันดี จริง ๆ แต่ก็เอาเป็นว่าตอนนี้ ก็ได้ซื้อหนังสือของคุณ เบนซ์มาแล้ว แต่ถ้าลำดับเหตุการณ์เมื่อวานที่ไป se-ed ดูแล้ว New york first time เป็นหนังสือเล่มสุดท้าย ที่หยิบหลังจากที่ผมได้ทำการซื้อหนังสือไปแล้วสองเล่ม อาจจะเป็นเพราะเป็นคนชอบซื้อหนังสือ (ไม่รู้ว่าชอบอ่านไม้ เพราะว่าบางเล่มซื้อมาสุดท้ายไม่ได้อ่าน ^^)
     แต่ผมเป็นคนที่ชอบเข้าร้านหนังสือมาก และชอบดูหนังสือ ที่ออกใหม่ ส่วนใหญ่เลือกซื้อหนังสือ จาก ความชอบส่วนตัว เจออันไหนถูกใจก็ชอบ ตัดสินจาก หน้าปกบ้าง เนื้อหาบ้าง ...
    กลับไปที่ร้าน Se-ed ที่เข้าเมื่อวาน สาขา จามแสควร์  ที่เข้าไปเพราะว่าไปฆ่าเวลา รอใครบางคน แล้วก็เดินไปเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ " เด็ก นอก คอก" 
    ตอนแรกที่เห็นก็ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ นอกจากเห็นว่าเป็นหนังสือ ที่ได้รับการแนะนำ ว่าขายดี และสำนักพิมพ์ stock2morrow ก็เป็นสำนักพิมพ์ที่ผมรู้สึกว่ามันแปลกใหม่ หนังสือค่อนข้างทันสมัย (คือคิดเอาเองก็ไม่ได้อ่านของเค้าเยอะเท่าไหร่ ) ตอนแรกที่เห็นก็แบบ ... ลองอ่านดูละกัน น่าจะไม่ได้ใช้เวลานานมาก (คือกะอ่านให้จบในร้านเลย ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะซื้อ เพราะว่าไม่รู้ว่าหนังสือจะมาแนวไหน) แต่ก็ลองอ่าน คำนิยม ดูปุ๊ป เจอ ชื่อ คุณ รวิศ หาญอุตสาหะ คือ ผม ชอบพี่เค้ามาก ไม่เคยเจอกัน แต่เคยอ่านหนังสือ ของพี่แกเล่มหนึ่ง ชื่อ "Marketing is everything" คือชอบมาก มาก คือมันก็มีหลายครั้งที่ผมชอบหนังสือจนดูว่าใครเขียน แล้วก็ไปดูผลงาน แต่เล่มนี้ ผมจำไม่ได้ว่าตอนนั้นรู้สึกยังไงถึงซื้อมันมา หรือว่าช่วงนั้นมันเป็นยุคของ Marketing อะไรก็ไม่รู้แหละ แต่ว่าผมชอบ ถึงขั้น ส่ง E-mail ไปหาพี่รวิศ เพื่อบอกว่าผมชอบหนังสือพี่มาก และก็สนใจแนวความคิดของพี่ คือตอนนั้นผมอ่านแล้วแบบ เห้ย คนที่แม่งจะเขียนหนังสือแบบนี้ได้ คือ เค้าผ่านอะไรมา เนี่ย แล้วคือผมคิดว่าคนเราคงไม่สามารถที่จะผ่านประสบการณ์เหมือน ๆกันได้หมด แต่ก็อยากรู้ว่าแกคิดแบบนี้ได้ไง เลย คิดเอาง่าย ๆว่า ปกติพี่เค้าจะอ่านหนังสือ แนวไหน จะได้ ตามอ่าน คืออยากคิดได้แบบเค้าบ้าง คือความคิดเจ๋งมาก เลย ก็เลยส่ง E-mail ไปหาคุณ​รวิศ (อยากบอกว่าเป็น e-mail แรกที่ส่งหาคนที่ผมรู้สึกปลื้มมาก หลายคนอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกนี้ มันต้องผ่าน หลาย step มากเลยนะครับแบบ 
 เริ่มอ่านหนังสือของเค้า -> ความรู้สึก "เชี่ยเจ๋งหวะ" -> อ่านต่อ -> ความรู้สึก "เชี่ยคิดได้ไงวะ"-> อยากรู้จัก(แล้วก็คิดในใจแบบ แล้วเค้าอยากรู้จึกมึงไม้ ก็ได้คำตอบว่า "ไม่"->  อ่านหนังสือต่อ -> ความรู้สึก "โหยแม่งคิดได้ไง อยากคุยด้วย" (แต่ในใจก็ลดลงมาจากอยากคุยด้วยเป็นอยากบอกพี่เค้าว่ากูปลื้มมาก)-> อ่านต่อ ก็ยิ่งอยากส่ง แต่ในใจก็คิดว่าส่งดีป่าววะ ส่งไปทำไม คือมันวนเวียนอยู่นานมาก สรุป คือ ส่งก็ส่งวะ...... 
     หลังจากส่งไปแล้ว คราวนี้แม่งนั่งเฝ้าเมล์ (ก็ไม่ได้ตลอด แต่ก็ดูบ่อยขึ้น) แล้วพี่เค้าก็ส่งกลับมา คือรู้สึกดีใจมาก ที่เค้าส่งกลับมา ตอนแรกในใจไม่ได้หวังว่าจะได้รับเมล์ตอบกลับมา แต่พอพี่เค้าตอบกลับมา คือดีใจมากเลยไม่รู้จะพูดยังไง และพี่เค้าก็ส่งชื่อหนังสือที่เค้าแนะนำมาด้วย เยอะมาก(เดี๋ยวไว้จะพิมพ์) ก็ตาม step เลยครับได้ชื่อหนังสือจาก idol ทำไงครับ search ดู หน้าปก ถึงตอนนี้ ถามว่าอ่านครบละยัง คือเอาจริง ๆไม่ถึง 1% เห้อ! 
    กลับมาที่หนังสือ " เด็ก นอก คอก" ที่มีคำนิยม ของพี่ รวิศ โอเคร ไม่อ่านละ ซื้อเลยละกัน! นี่แหละ Buyology การซื้อของกรู อารมณ์ล้วน ๆแล้วเดี๋ยวหาเหตุผลให้เองว่าทำไมต้องซื้อ (หนังสือ buyology ไม่เคยอ่าน ประโยคนี้จำจากไหนมาไม่รู้ จำไม่ได้) หลังจากคิดจะซื้อ "เด็ก นอก คอก" แล้ว ในหัว แว้บขึ้นมาว่าเคยเห็นว่า พี่รวิศ ออกหนังสือใหม่ ตอนนั้นจะซื้อ แต่จำไม่ได้ ว่าทำไมลืมซื้อ คือไหน ๆจะซื้อแล้วเอาของพี่เค้าไปด้วยเลยละกัน จากนั้นก็ตามหา หนังสือพี่เค้า คือชอบพี่เค้าจริง ๆ... แต่ว่า ... หนังสือชื่อไรวะ 
    ไป counter ถามพนักงาน "พี่ครับ คุณ รวิศ นี่ เขียนหนังสือ กี่เล่มครับ" คือระหว่างที่พูด แหงนหน้ามองดู หนังสือติดอับดับขายดี ของพี่แกติดอยู่ด้วย เลย บอกพนักงานที่กำลังพิมพืว่าไม่ต้องแล้วครับ  เอาเล่มนั้น ด้วย หนังสือชื่อว่า "คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย"

    ถึงตอนนี้ในหัวคือ ไม่ไหวแล้ว คือผมเหนื่อยกับการพิมพ์แล้ว ที่แล่นมาในหัวคือ ปกติที่อ่านบทความคนอื่น ที่พิมพ์ไว้ ใน เว็บเล่าเรื่องแล้วพิมพ์ว่า "เดี๋ยวมาต่อ" ไม่เคยเข้าใจเลยว่า ทำไมมึงไม่พิมพ์ให้เสร็จ ๆตอนนี้เข้าใจแล้ว ตอนแรกกะจะพิมพ์ให้เสร็จเลย แต่พอเอาเข้าจริง ๆมันใช้เวลาเหมือนกันนะเนี่ย ไม่ไหว เดี๋ยว พรุ่งนี้จะมาพิมพ์ต่อ(ห้า ๆๆตั้งใจเขียนพรุ่งนี้ให้กดดันตัวเองจะได้จริงจังซะที)

    ถึงไหนนะเนี่ย อ๋อ หลังจากที่ได้ หนังสือของพี่ รวิศมา มีความรู้สึกว่า สองเล่ม อ่านแปปเดียวคงจบก็เลย หาอะไรอีกเล่มดีน้า ก็เลยมาหยุดอยู่ที่  "Newyork first time" ซื้อก็ซื้อวะ เห็นหลายทีละ ก็เลยสอยมาด้วยกันเลย 
   หลังจากได้หนังสือมาแล้ว ... เสร็จธุระแล้ว.. เอาวะเริ่มอ่านเลยละกัน ก็เริ่มจาก "เด็ก นอก คอก"ก่อน คือคร่าว ๆอ่านไปรวดเดียวทั้งเล่มเลยครับ คือได้ข้อคิดอะไรเยอะมาก แล้วก็ยังไม่ได้ แตะ หนังสือของ เบ๊น อยู่ดี ห้า ๆๆๆ  แต่พออ่าน "เด็ก นอก คอก จบ" เลยเปิดของ เบ๊นมาอ่านดู เอ้อเจ๋งดีหวะ แต่ก็อ่านไปแป๊ปเดียวเองก็ไม่ได้อ่านต่อ (สัญญาว่าจะอ่านให้จบ) เปลี่ยนมาอ่านของพี่รวิศบ้าง ..
   เปิดบทแรกมาก็ malala พลิกดูบทนี้มีกี่หน้า เอ๊ะ มีแนะนำ Clip ที่ malala พูดที่ UN เลยเปิด youtube ดู พบว่า Malala ช่างทรงพลังอะไรขนาดนี้ ผมสงสัยมากว่าเด็กคนนี้ผ่านอะไรมา ทำไมสายตาเธอถึงได้เด็ดเดี่ยว น้ำเสียงวาจา ช่างแน่วแน่ มีพลัง นี่เด็กอายุ 16 จริง ๆเหรอเนี่ย คือดูไป ก็อึ้งไป ดูไปก็ สะเทือนใจ ไม่รู้ว่าจากที่ดูแล้วมันปลุกใจอะไรไปบ้างแต่หลังจากดูจบก็อ่านหนังสือของพี่เค้าต่อไปถึงครึ่งเล่ม แล้วไม่รู้ว่าสาเหตุอะไร หรือการอ่านหนังสือ ปน ๆกันสามเล่ม มันถึงได้ดลให้ อยากทำ  Blog เป็นครั้งแรก อาจจะเป็นเพราะคำนำที่มีพลังของเบ๊น ในเรื่องของคนเราต้องมีครั้งแรก แล้วได้การกระตุ้นจากหนังสือ "เด็ก นอก คอก" รวมถึงบทความใน หนังสือ "คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดแค่ปากซอย"  อะไรไม่รู้แหละ แต่ตอนนี้ ผมได้เริ่มเขียน Blog ของตัวเองครั้งแรก ... 
ถึงตอนนี้ยัง งง เลยว่า จะเขียนอะไรก่อน เขียนแล้วใครจะอ่าน ใครจะไปอยากรู้เรื่องที่ผมเขียน แต่เอาเป็นว่า ไม่ลองไม่รู้ ทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวจะมาพิสูจน์กัน ^^