วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

และแล้ว...

  คือหายไปกี่วัน เนี่ย คือไปนั่งนับวันล่าสุดที่ Post หนังสือ คือวันที่ 21/10/57 แล้ววันนี้วันที่ 28/10/57 คือหายไปแบบ 7 วัน สารภาพเลยว่าเคยคิดจะพิมพ์หลายครั้งแล้วก็คิดว่า แปปนึงเดี๋ยวค่อยทำ แปปนึงตลอดเลย คือมันจะมีเรื่องอะไรที่ผมจะไม่ใช้คำนี้ไม้เนี่ย แล้วมันก็ลืม แล้วมันก็เลยมาถึง ตอนนี้ แต่วันนี้แปลกเหมือนมันมีอารมณ์พิมพ์ถึงแม้จะมีหลาย ๆอย่างให้ทำ แต่ผมกลับพิมพ์ได้ อะไรของมันวะเนี่ย

    ช่วงก่อนที่วุ่น ๆนี่อาจเพราะว่าผมนั่งเครื่องบินบ่อย คือเดือนนี้ผม นั่งเครื่องไปกลับเชียงใหม่ 3 ครั้งใน 3 อาทิตย์ คือเหนื่อยกับการเดินทางพอสมควร แต่ช่างมันตอนนั้นมีหลายเรื่องที่คิดได้ระหว่างการเดินทางอยู่ แต่ก็ในช่วงที่หายไปนี่ ผมอ่านหนังสือจบไป หลายเล่มอยู่นะครับเริ่มจากที่ช่วงนั้นซื้อ หนังสือมา 3 เล่ม
1. เด็กนอกคอก
2. คิดจะไปดวงจันทร์ อย่าหยุดที่ปากซอย

3. 
  คือหยิบซื้อมาตามลำดับนี้เลยครับ แล้วผมก็อ่านมันจบตามลำดับนี้เลย คือเริ่มจากของ คุณเซ่ ลองอ่านดูแล้ววางไม่ลงอ่านจนจบ อันที่จริงระหว่างนั้นก็ไปแวะเล่มอื่นบ้าง แต่มันก็อยากกลับมาอ่านให้จบก่อน พออ่านจบเสร็จก็ตามมาด้วย ของคุณวริศ แล้วเล่มสุดท้ายคือของ เบ๊นซ์ แล้วที่เจ๋งคือบ่อยครั้งที่ผมอ่านหนังสือบนเครื่องบิน ถ้าสมาธิไม่ถึงระดับ หรือหนังสือไม่ดึงดูดพอ นี่มันจะปวดหัว มากเลยเวลาอ่านไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมไม้ครับ อย่าว่าแต่อ่านหนังสือเลยครับ ทำ อะไรบนเครื่องบินมันก็ปวดหัวไปหมด อะครับ ฟังเพลง ดูหนัง เล่นเกม โอ้ยไม่ไหว แต่ว่าวันนั้นผมนั่งเครื่องบินไปเชียงใหม่ เริ่มอ่าน NYFT ตั้งแต่อยู่บน Taxi ออกจาก แถว BTS สีลม ไปดอนเมือง เดินไป Check in ตั๋ว นั่งรอขึ้นเครื่อง เดินขึ้นเครื่อง นั่งประจำตำแหน่ง จนเครื่อง Landing ผมเดินออกเครื่อง แล้วเดินออกจากสนามบิน คือมันจบตอนออกจากสนามบินพอดี แล้ว ผมเหมือนคนบ้า ไม้หละ คือบางทีนั่งอ่านไปก็หัวเราะไปเอง แต่ไม่ได้สังเกตว่าคนอื่นเค้ามีปฎิกริยายังไง แต่ว่าพออ่านจบก็ แบบ อืม หนังสือก็เฉย ๆนะ เบ๊น ก็เป็นการเล่าชีวิตที่เบ๊นไปเจอมา ก็ไม่เห็นมีไร (คือแต่แม่งวางไม่ลง) เห้อ ซึ่งตอนนั้นกลับไปเชียงใหม่ปุ๊บเวรแล้วไงหนังสือหมด คืออ่านมาหมดแล้วสามเล่ม จริง ๆก็มีอีกเยอะ แหละ ขนาดที่คุณ รวิศ แนะนำมา นี่ยังไม่ถึงไหนเลย แล้วผมเองก็มี Kindle ด้วยเอาไว้อ่านหนังสือ (เผื่อคนที่ไม่คุ้นกับ Kindle มันก็คือ E-book reader ชนิดหนึ่งนะครับ)
 หน้าตาประมาณนี้ ไว้ค่อยไปลงรายละเอียดกับมันละกัน เผื่อใครสงสัยว่าจะใช้มันทำไม ipad ดีกว่าไม้ (คือผมค่อนข้างจะเป็นสาวกแฮะ รู้สึกตอนพิมพ์ว่า  ipad ดีกว่าไม้ ในใจก็คิดว่าทำไมไม่พิมพ์ tablet หรือว่า samsung อะไรก็ว่าไป ช่างมันคือ ผม ชอบ apple อ่ะค่อยว่ากันอีก) คือจะบอกว่าหนังสือใน kindle นี่ก็มีมากมายก่ายกอง อ่านเดือนนึงไม่รู้จะหมดรึเปล่า แต่ที่รู้คือ มันอยู่มา สามปี เคยอ่านหนังสือใน kindle จนจบไม่กี่เล่มเอง เล่ม แรก คือ The last lecture
  เล่มนี้ดีมากเลยครับ ขอ แนะนำ อันที่จริงเค้ามี clip ใน youtube ด้วย คืองง ตัวเองว่าจะพิมพ์ทำไม มันเอา youtube มาแปะได้ 

  ซึ่งช่วงนั้นผมก็จำไมได้แล้วว่าผม อ่านอะไรต่อหลังจาก 3 เล่มนั้น เห้ย ! ผมพึ่งคิดออกว่าก่อนหน้า 3 เล่มนั้น หนังสือ เล่มแรกที่ผม ซื้อตอนที่ผมมากรุงเทพครั้งนี้ คือ คือ คือ "ดราม่าเอย จงซับซ้อนยิ่งขึ้น" ของ จ่าพิชิต ขจัดพาลชน

  อย่าหาว่าผมบ้านนอกเลยนะ คือมันคงออกมานานแล้วแหละ แล้วผมไม่เคยเห็นเลย ถึงเห็นก็อาจจะไม่ซื้อ แต่ว่าวันนั้นอยากได้ หนังสือเบา ๆอ่านเอาขำ ๆไว้อ่าน เลยซื้อ มาซึ่งตรงกันข้ามกับจุดประสงค์โคตร ๆคือกรูกะเอามาอ่านขำ ๆ จ่าแม่งเขียนไม่ขำ กลายเป็น ทฤษฏีว่าด้วย Fallacy ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งดราม่า แล้วผมก็เหมือนได้ค้นพบศาสตร์ใหม่ ที่แม่งคิดค้นตั้งแต่สมัยของ Aristotle เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ ดังนั้น อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปกโดยเด็ดขาด ... 

   ว่าแต่ช่วงนั้นผมอ่านหนังสืออะไรต่อ ผมเองก็จำไม่ได้แล้วหวะ คือปกติผมเป็นคนที่ความจำดีนะครับ ดีมากเลยด้วย แต่ว่ามันดีแค่ช่วงสั้น ๆ (T_T) แค่ อาทิตย์เดียวก็จำไม่ได้แล้ว คงจะเป็นเพราะว่ามันไม่ได้ทำให้ตื่นเต้นอะไรมากมาย แหละมั้ง kkk( ความรู้ใหม่จากหนังสือของเบ๊น อยากรู้คงต้องไปอ่านเอง) 

  แล้วหลังจากที่ผมกลับมากรุงเทพอีกครั้ง เหมือนผมจะไปแค่ 2 วันเองครับช่วงนั้น ส่วนใหญ่ตอนนั้นกำลังบ้าภาษาคอม เลยคงไม่ได้อ่านหนังสือเยอะ หลังจากที่พูดไปด้านบน ผมก็เข้าแต่เว็บ  http://codecademy.com ซึ่งถ้าใครที่ไม่รู้จักผมขอบอกเลยว่ามันเจ๋งมาก สำหรับคนที่อยากเรียนภาษา computer เอาไว้ผมค่อยเขียนเกี่ยวกับเว็บนี้ละกัน  ขอแปะไว้ก่อน

ขอติดไว้ก่อนเรื่องเว็บนี้ แต่ก็ โพสรูปไว้ว่ามันมีหลายภาษา เออ แล้วก็ นั่นไม่ใช่ผมนะ คือผมเป็นคนไทย คืออันนี้หามาให้เห็นภาพเฉย ๆ แหะๆ พอพูดถึงเว็บนี้ก็มีแหล่งการเรียนรู้ online ที่ผมรู้จักอีก หลายที่เหมือนกัน ขอเขียนไว้ตรงนี้ก่อนละกันเท่าที่นึกออก ที่ใช้บ่อยช่วงนี้ คือ  http://udemy.com 
    เป็นอีกเว็บหนึ่งที่ใช้เรียน online ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับ computer แต่ที่ไม่เกี่ยวก็มีนะครับ ลองแวะ ๆเข้าไป ดู แต่เว็บนี้ไม่เหมือน Codacademy (อ่าน โค้ด แอ๊ค ได้ป่าว)  คือ โค้ด แอ๊ค มันฟรี หมดครับ แต่  Udemy มีทั้ง ฟรี และ เสียเงิน เช่นเดียวกับ อีก เว็บ คือ http://coursera.org อันนี้ก็มีทั้ง ฟรี และเสียเงิน แต่เว็บนี้ เหมือนจะจริงจังกว่า เพราะว่ามี เนื้อหากว้างมาก และมี ใบ certificate ให้ด้วย ไม่ได้กระแดะ พิมพ์อังกฤษ กลัวพิมพ์ไทยไม่ถูก

  อ่าวเห้ย เขียนว่า ฟรี คือ ทำไมหลาย course ที่กรูหา มันไม่ฟรี ฟร่ะ เห้อ! เดี๋ยวให้อีก 2 ที่ไว้ละกัน (อันที่จริงแม่งก็คิดออกแค่นี้แหละ เท่าที่ผมรู้ก็ใช้อยู่แค่นี้อ่ะ อันต่อไปที่แนะนำ คือ ของ apple เลยครับ ITunes U คือจะดูผ่าน iphone , ipad หรือว่าในคอม ผ่าน iTune ก็ได้ครับ


iTunes U นี่หลายหลายจริง ๆและเป็นของมหาลัยทั่วโลก เลย มีให้เลือก ไม่ได้มีครบทั่วโลก นะครับ คือ มันมีหลาย ที่ เอาไว้ก่อนนะจะมาทำ อธิบายรายละเอียด ให้ เหมือนวันนี้จะสร้าง Blog ของอนาคตไว้หลายอันอยู่นะเนี่ย หรือว่ามันเริ่มต้นแบบนี้ครับเนี่ย การที่เขียน Blog เนี่ย มันต้องพิมพ์ไปเรื่อย ๆแล้วคิดอะไรออกมาก็พิมพ์ ไว้รอ ผมทำไปเรื่อย ๆแล้วถ้าผมได้ข้อสรุปการเขียน Blog ผมจะบอกนะครับ ตอนนี้เดี๋ยว Post Web สุดท้ายไว้ให้ก่อนนะครับ https://th.khanacademy.org (มีภาษาไทยแล้วด้วย)
   คือเว็บนี้มักเป็นเว็บที่ผมจะแนะนำให้คนอื่นก่อนเสมอเลยครับ แต่ว่าเนื่องจากว่าผมไม่ค่อยได้เข้าเลยอ่า ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีนะครับ แต่ช่วงนี้ผมบ้าคอม ดูด้านบนเลยจะมีแต่เว็บสอนเกี่ยวกับ computer ซึ่ง Khanacademy ดีมาก ๆเลย โดยเฉพาะเด็ก ตั้งแต่ประถม ถึง ผู้ใหญ่ คือเค้ามีสอน พื้นฐานเกือบทุกวิชา ผมขอย่อแบบโคตร ๆเลยละกัน แล้วแปะ ไว้ก่อนจะมาทำ Blog ให้อีกทีนะครับ  คือผมเริ่มรู้สึกว่าพิมพ์ไปเดี๋ยวยาว เกิน ขอ แถมอีกอันละกัน อันนี้ไม่เชิงสอน แต่ว่าเป็น ....(คือเว้นไม่ได้ให้ตื่นเต้นนะ แต่ว่าไม่รู้จะบอกว่าไง) มันคือ Ted talks จะบอกว่ามันเป็นบรรยายก็คงได้มั้งแต่ผมว่ามันดีกว่านั้น http://www.ted.com


ตัว TED talks นี่ผม บอกเลยว่าผมไม่เคยเข้าเว็บมันเลย คือเข้า youtube แล้ว seach เอาตลอดเลย ไว้ผม ค่อยพูดถึง Ted talks อีกทีนะครับ เดี๋ยวอีกแล้ว โอ้ยเยอะหวะ!

  คือประเด็นที่จะเขียน Blog วันนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับไอ่เว็บที่ว่ามานี่เลย คือ ที่คิดไว้นะคือจะบอกว่า รู้สึกว่าหนังสือ เบ๊นอะมันเจ๋ง ทำให้ผมอ่านได้บนเครื่องบิน แล้ว หลังจากที่ผมกลับมากรุงเทพ แล้วไปงานหนังสืออีกครั้ง ผมได้เจอกับ เซ่ นักเขียนหนังสือ เรื่อง​"เด็ก นอก คอก"  คือ เค้ามาที่บูธเพื่อแจกลายเซ็นพอดี 
อยากบอกว่าผมไม่เคยขอลายเซ็นใครมาก่อนเลย นอกจากที่ต้องขอให้พ่อเซ็นใบลา ซึ่งโต ๆมาก็เซ็นเอง แล้วก็ไม่นับที่ต้องขอให้อาจารย์เซ็น เวลาทำงาน ก่อนหน้านี้เคยคิดว่าการขอลายเซ็นนักเขียนไม่เห็นว่ามันจะสำคัญ หรืออยากจะทำตรงไหน แต่วันนั้นที่เจอ เซ่ นี่คืออยากขอลายเซ็นพี่เค้ามากเลย อาจจะเป็นเพราะว่าอ่านหนังสือเบ๊น New york first time ก็ได้ ขอโยนความดีความชอบให้พี่เบ๊นหมด เลย ที่แกบอกว่าแกเคยไปขอลายเซ็นนักเขียนที่แกชอบ ที่ new york รึเปล่า ที่สุดท้ายแกรอนานมาก นานจริง ๆนะ กี่ชั่วโมงผมจำไม่ได้ น่าจะมากกว่า 5 ชั่วโมง แล้ว คือที่ไทยมันไม่ต้องรอนานขนาดนั้นไงครับ ผมก็คิด ๆ อยู่ว่าจะขอลายเซ็นดีไม้ ระหว่างที่คิดนี่ ขาเดินเข้า บูธไปแล้ว เห้อชีวิต เดินเข้าไป พบกับความจริงว่า กรูไม่ได้เอาหนังสือมา ทำไงดีวะ แล้วพี่เค้าพึ่งเขียนหนังสือเล่มแรกอยู่เลย ง่ายมากไม่ต้องคิดเลย ซื้อใหม่ ใช่ครับ ซื้อใหม่ เลย (ไอ่ style การเขียนแบบนี้ นี่ได้มายังไงวะ ไอ่ .... ใช่เลยครับ..... โดยคำในช่องว่างเป็นคำเดียวกันเนี่ย มันช่วยให้การอ่านมันสนุก หรือการเล่ามันได้อรรถรสขึ้นเหรอเนี่ย) เอาเป็นว่าซื้อใหม่ แล้วก็เดินเข้าไป ขอลายเซ็น พร้อมกับบอกพี่เค้าว่า "พี่ครับ จริง ผมมีหนังสือพี่อ่านจบแล้ว ผมชอบหนังสือพี่มากเลย แต่ผมไม่ได้เอามา ผมขอพี่เซ็นเล่มใหม่ ให้ผมแทนละกัน" แล้วพี่เค้าก็บอกว่า "จริง ไม่ต้องซื้อก็ได้นะ" คือผมรู้แกอำ แต่ผมเหวอมาก คือ หนังสืออีกเล่มกรู อยู่เชียงใหม่ -*-  ก็ไม่ได้พูดอะไรอีกนอกจากที่พี่เค้าเซ็นให้ แต่ว่าบรรยากาศ ตอนนี้ผมได้อยู่ตรงนั้นกับนักเขียนที่ผมปลื้ม มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเลยครับ ต้องไปลองเอง คุณต้องลองหาโอกาสไปเจอคุณที่คุณปลื้ม คนที่คุณนับถือ แล้วบอกกับเค้าว่าเราชอบงานเค้า บรรยายไม่ถูก เหมือนกัน จากนั้นผมก็ได้ลายเซ็นมา ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร 555+ 
   แต่จริง ๆแล้ววันนั้นผมไปงานหนังสือเพื่อไปซื้อหนังสือใหม่ของ เบ๊น เพราะว่าเค้าออกเล่มใหม่ คือ The Real alaska กลายเป็นว่าผมได้ ลายขอลายเซ็น ครั้งแรก กับ นักเขียนที่พึ่งเขียนครั้งแรก คือก็ งง ตัวเองเหมือนกัน 


    หลังจากได้ ลายเซ็นมา ผมเกือบลืมไปเลยว่ามาซื้อหนังสือ the real alaska เลยต้องวกกลับไปซื้อหนังสือ ที่ไม่ได้ซื้อตั้งแต่แรก เพราะว่าผมรู้อยู่แล้วว่าผมจะมาซื้อมัน เลยไม่รู้ว่าจะรีบซื้อทำไม อยากเดินดูหนังสืออื่นไปเรื่อย ๆก่อน จะกลับค่อยไปซื้อหนังสือที่อยากได้ ขี้เกียจถือ คือ ประเด็นหลัก ซึ่งผมก็เดินไปซื้อหนังสือ the real alaska และด้วย นิสัย ไม่สิ สันดานส่วนตัว ไม่เคยซื้อหนังสือได้ทีละเล่มเลย ก็ถามเค้าว่ามีหนังสือเล่มไหน แนะนำไม้ครับ ก็เลยได้ I roam alone มาอีกเล่ม

  อันที่จริงผมก็กะจะซื้ออยู่แล้ว เพราะว่าผมเคยเห็น แวบ ๆผ่าน facebook เคยเห็น แบบ แว๊ป จริง ๆนะ ครับ แว๊ป แบบไม่ได้ดูเลยว่ามันเกี่ยวกับอะไร แต่ด้วยนิสัย(สันดานมันดูไม่คุ้นหู ขอไม่ใช้นะ 555+) ที่ไม่เคยซื้อหนังสือเล่มเดียว ก็เลยซื้อมาสองเล่ม จาก บูธนี้ ห้า ๆๆๆ ๆๆๆ แสดงว่ามันต้องมี บูธอื่น อีก ถูกเลยครับ ผมจำได้ว่ามี สำนักพิมพ์  Open world คือไม่เคยได้ยิน มาก่อน(แค่ตัวผมนะที่ไม่เคยได้ยิน คือเชียงใหม่ มันไม่ได้มีหนังสือเยอะขนาดนี้ ไว้เล่าให้ฟัง) แต่บูธนี้ หนังสือที่วางมันสวยถูกใจผม (Don't judge the book by its cover ผมรู้ครับ แต่ผมทำไม่ได้ จริง ๆ) ผมเดินวนมาหลายรอบ ละ แล้วเค้าก็มีหนังสือลดราคา น่าสนใจมากมาย เลยได้ มา 3 เล่ม คือ

1.

2. 
 สองเล่มนี้ได้มาเพราะ คำโฆษณาคนขาย คือเป็นคนเชื่อคนง่ายมาก ถึงตอนนี้อ่านถึงหน้าปก ทั้งคู่เลย T_T แต่เล่มที่สามได้มาเพราะว่ามันลดราคา และหน้าปก และหัวข้อมันน่าสนใจ
 3. 

 วันนั้นก็ได้มาแค่นี้แหละครับ (หลายคนอาจจะบอกว่าแค่เหรอ หลายก็อาจจะมองว่าแค่จริง ๆ) แล้วผมก็กลับ และแล้ว หนังสือทั้งหมดนั้นตอนนี้ ยังไม่มีเล่มไหนที่ผมอ่านเลย คือเป็นแบบนี้ตลอดเลยครับ เห็นว่าหนังสือมันน่าอ่าน แต่ซื้อมาก็ยังไมไ่ด้อ่าน เห้ยผมพูดผิด มันมีเล่มหนึ่งที่ซื้อมาวันนั้นแล้วอ่านจบ คือ 
I roam alone เล่มนี้ 

ทำให้ได้รู้จัก มิ้นท์​ในมุมมองที่เค้าเสนอ ได้รู้จักโลก ได้ทำให้ผมอยากไปเที่ยวรอบโลกมากขึ้น คือเคยอยากไปอยู่แล้วกลับเป็นอยากไปมากขึ้นไปอีก แล้วผมจะเล่าให้ฟังนะครับ  วันนี้เลย จุดประสงค์ที่จะเขียน Blog คือจะบอกว่า 
1. หนังสือเบ๊นอ่านได้บนเครื่องบิน ไม่ปวดหัว
2. ผมได้ลายเซ็น เซ่ 

คือที่เหลือ คือน้ำ จริง ผมควรจะเอาจุดประสงค์ไปไว้ข้างบน แล้วบอกว่าด้านล่างไม่ต้องอ่านรึเปล่า เนี่ย แต่มันก็ทำให้ผมได้ข้อคิดเหมือนกันนะเขียน Blog ครั้งนี้ ว่า การที่เราทำอะไรบางอย่างเพื่อเป้าหมายบางอย่าง ระหว่างทาง เราก็ได้อะไรมาเยอะ เลย 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น