วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557

หรือว่ามันคืออารมณ์ ติ๊ส

ไม่ได้เขียน Blog เลย อารมณ์นี้ผมว่าใช่เลย พอเริ่มไม่ได้เขียน 1 วันมันก็เริ่มชิน ที่จะไม่เขียน วันที่ 2 ที่ 3 ตามมาพร้อมกับอารมณ์ ขี้เกียจ และข้ออ้าง ในใจมากมาย ผมว่าคงมีคนเข้าใจความรู้สึกการอู้ โดยการใช้ข้ออ้างต่าง ๆนา ๆมากมายกับตัวเอง อารมณ์ พรุ่งนี้ค่อยทำ, ไม่ว่าง, งานยุ่ง etc(หา เครื่องหมาย ไปยาลไม่เจอ บอกเลยขี้เกียจหา คือ keyboard ผมไม่มีภาษาไทย ตอนนี้เจอปัญหาแล้วว่ามันยากในการหาไปยาล) วันนี้ตัดสินใจต้องเขียน Blog เพื่อสานฝัน และความตั้งใจ ถึงแม้ตอนนี้ผมจะไม่ค่อยอยากจะเขียนเท่าไหร่ ไม่ได้หมายความตามนั้นซะทีเดียวนะครับ คือ อยากเขียน Blog อยู่แต่ ว่าก็รู้สึกว่ายังไม่พร้อมที่จะเขียน หรือว่าคนที่เขียน blog ทุกคนคงต้องประสบอารมณ์แบบนี้
   ช่วงที่หายไป เนื่องจากทั้งเหตุผลจริง ๆคือ ติดเรียน ติดอ่านหนังสือสอบ งานเยอะ บลา บลา บลา ซึ่งเหตุผลที่จริงกว่านั้น คือ ไม่รู้จักแบ่งเวลา ไม่รู้จักการบริหารเวลา เลยไม่มีเวลามาเขียน Blog ผมสังเกตนิสัยตัวเองมาพักหนึ่งว่า พอสนใจอะไรก็จะทำ แล้วซักพักก็เลิกทำ ไม่มีการบริหารเวลาเลยครับ นี่แหละมั้งที่ทำให้ไม่พัฒนาไปไหน ซะที ช่างมันเถอะครับ ช่วงที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะไม่ได้เขียน Blog แต่ผมก็ยังคงอ่านหนังสืออยู่นะ (คงจะเขียน Blog ไปในเนื้อหาของหนังสือที่ตัวเองอ่านดีกว่า เพราะว่ายิ่งอ่านหนังสือก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองต้องพัฒนาอีกเยอะมาก ถ้าเขียน Blog ไปโดยบ่น ๆ พิมพ์อะไรไร้สาระ มันคงไม่มีประโยชน์อะไรเลย )
   พอจะเริ่มว่าอ่านอะไรไปบ้าง มันรู้สึกเสียดายนะที่ไม่ทำในตอนที่ จำได้ คือทั้ง ๆที่รู้ว่าเป็นคนความจำดีในระยะสั้นมาก ว่าแล้ว ว่ามันต้องลืมพอผ่านไปนาน ๆแต่ทำไม ไม่รู้จักจดไว้ว่าอ่านเล่มไหนก่อนหลัง ตอนนี้ที่คิดได้ คือหนังสือ "ปัญหาไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นแค่เรื่องใหม่ที่เราต้องเจอ"
  หนังสือเล่มนี้ให้อะไรกับผมเยอะมาก และนอกจากนั้นยังแนะนำหนังสืออีก 4 เล่ม (จำไม่ได้ว่ามากกว่านี้ไม้อ่ะ คือมันนานไปละ) ซึ่งทั้งสี่เล่มนั้น ผม อ่านจบเล่มเดียวอยู่เลย T_T 
จากหนังสือ "ปัญหาไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เป็นเรื่องใหม่ที่เราต้องเจอ" ทำให้ผมรู้จักหนังสือเพิ่มมาอีก 4 เล่มคือ
1. 

2.

3.

4.



จากที่ว่ามาทั้ง 4 เล่ม เล่มที่อ่านจบแล้วตอนนี้คือ เล่มสุดท้าย กุศโลบายสร้างความยิ่งใหญ่

       สุดยอดของหนังสือเลยก็ว่าได้ครับ ตั้งแต่ผมอ่านหนังสือมาเล่มนี้ ทำให้ผมรู้สึกประทับใจมาก พูดยากนะครับ แต่เล่มนี้แหละ ที่เป็นคำอธิบายอย่างดีของคำว่า Dont judge the book by its cover คือ พูดตรง ๆเลย ถ้าผมไม่ได้อ่านหนังสือของ พี่ไอซ์ ผมก็ไม่มีวันรู้จักหนังสือเล่มนี้ และถ้าผมบังเอิญเดินผ่านไปเจอหนังสือเล่มนี้ ผมจะไม่หยิบมันขึ้นมาอย่างแน่นอน 55+ แต่พอได้อ่านจากคำแนะนำเท่านั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่า ห้ามตัดสินเนื้อหาจาก หน้าปกจริง ๆ ซึ่งหลังจากนี้ไปผมจะพยายามไม่ตัดสินจากหน้าปก (ทำยากมาก ๆนะบอกเลยยังไงซะ ทุกวันนี้ก็ยังคงตัดสินใจซื้อจากรูปร่างภายนอกอยู่นะ)

หลังจากเล่มนี้แล้ว ผมอ่านเล่มไหนต่อเนี่ย คือ งงไปหมดตอนนี้ เห้อ ชีวิต 
จำได้ภาพขาด ๆว่า ไปร้านหนังสือ แล้วก็ซื้อหนังสือ คือภาพเข้าร้านหนังสือมันเยอะจริงๆ จนสับสน เอาเป็นว่าต้นเหตุของไอ่หนังสือเซตใหม่เนี่ยมันมาจากการไปร้านหนังสือ แล้วซื้อ 
"I read therefore I am"
เป็นหนังสือเล่มที่ 2 ที่ผมเห็นนะครับว่าเกี่ยวกับการแนะนำหนังสือโดยบุคคลที่มีชื่อเสียง เล่มก่อนหน้านี้ที่ผมเห็นจะเป็นของ สถาปนิก ครับจำไม่ได้ อาจจะมีเล่มอื่นอีกแต่ผมเคยเห็นแค่สองเล่มนี้ (ของไทยนะครับ) ซึ่งพอเห็นเล่มนี้ผมไม่ลังเลที่จะคว้ามากเป็นเจ้าของเลยครับ เหมือนเป็นโรคจิตอยากรู้ว่าคนอื่นเค้าอ่านอะไรกัน จะได้อ่านบ้าง เมื่อไหร่ชั้นจะฉลาดเท่าคนอื่นซะที พอพูดถึงเล่มนี้ก็ทำให้นึกถึง คน ๆหนึ่งที่อยู่ในเล่มนี้เลยครับ ก่อนหน้านี้ผมก็พึ่งอ่านหนังสือของเธอจบไป คือ "นานิ" หนังสือเล่มก่อนหน้านี้ที่อ่านคือหนังสือที่ชื่อว่า "สร้างเงินล้าน ด้วยงานออฟฟิศ" อ่านแล้วไฟติดอยู่นะครับ เหมือนผมจะมีความฝันคล้าย ๆน้องเค้าเลย แต่ว่ายังไปไม่ถึง อ่านแล้วไฟลุกเลย ยังไม่มอดด้วย ไว้จะไปหาเล่มแรกของน้องเค้ามาอ่าน
 กลับมาต่อที่หนังสือ "I read therefore I am" อ่านไปก็ได้ชื่อของหนังสืออีกมากมาย แต่ชื่อที่เห็นแล้วทำให้ผมต้องค้นหา คือ รงค์ วงษ์สวรรค์ เอาจริง ๆนะครับ คือผมไม่เคยได้ยิน พอ search ใน google แล้ว แบบว่าอยากด่าตัวเองว่า ไอ่ควาย มึงไปอยู่ไหนมา นอกจากนี้แล้ว ผมยังได้รู้จักนักเขียนอีกคนคือ "วาณิช จรุงกิจอนันต์" ยิ่งรู้สึกว่าผมนี่ควาย แท้ ๆไม่รู้จักอีกเช่นเคย นอกจากหนังสือในไทยแล้ว ก็ยังได้รู้จักหนังสือต่าง ๆอีกมากมาย เห้ย ! ผมด่าตัวเองทำไมเนี่ย ต้อง positive thinking ใช่ไม้ครับ ถึงจะถูกต้อง แบบว่า เรานี่โชคดีจังเลยที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ นี่แหละ พลังแห่ง positive กำลังทำงาน มันดึงดูดหนังสือ ที่เราอยากได้เข้ามาหาเรา หรือว่านี่มันจะเป็นเรื่องจริง น่าสนใจมากครับ ผมคงต้องมองมุมกลับปรับมุมมอง ดู อิอิ 
   หลังจากอ่าน "I read therefore I am" จบ คือผมมีความรู้แค่ว่าประโยคนี้ดัดแปลงมาจาก "I think therefore I am" ของ Descates แต่ว่า descartes ทำอะไรไว้บ้าง หรือ เค้าทำอะไรแบบจริงจังนั้นผมไม่รู้เลย ช่างมันเถอะ กลับมาหลังจากอ่านหนังสือจบ คราวนี้บ้าเลยครับ อยากลิ้มลองหนังสือของ คุณรงค์ ไล่ตามหา เลยครับ เล่มแรกที่ได้มานั้นคือ เรื่อง "หอมดอกประดวน"
โอ้โหพระเจ้ามาก อ่านจบแล้ว งง โคตร ๆ ภาษาสลับซับซ้อนซ่อนเงี่ยน เอ้ยเงื่อน คือ อ่านไปหื่นไป พร้อมกับ หมดอารมณ์ เพราะว่ามัวแต่แปลความ ถามผมว่าดีไม้ ผมตอบไม่ได้ครับ แต่ผมว่ามันต้องดีแน่ ๆแต่ตอบไม่ได้จริง ๆครับ ที่บอกว่าดีเพราะภาษาไม่ขัดกันเลย แต่ผมไม่ค่อยเข้าใจทั้ง หมด เพราะว่าประสบการณ์การอ่านของผมยังน้อย และมันเป็นงานตั้งแต่ผมยังไม่เกิด มันได้แง่มุม ได้แง่คิดเยอะนะครับ หนังสือแบบนี้คงต้องอ่านหลาย ๆรอบ และผมเดาว่ามันจะให้อะไรในมุมที่ต่างกันไปมากมาย

   นอกจากหนังสือเล่มนี้แล้ว ผมก็ได้หนังสือคุณรงค์ มาอีกหลายเล่มแต่ยังอ่านไม่จบ คือ
"มาเฟียก้นซอย" 

"สนิมสร้อย"

บอกตรง ๆว่าใจไม่กล้าพอ เจอ "หอมดอกประดวน" เข้าไปตอนนี้บอกเลยว่าเมาดอกประดวนมาก ยังไม่กล้าแตะงานท่านรงค์อีก พอเบรคไว้ก่อน แต่นอกจากสองเล่มนี้แล้ววันนั้นผมเห็นงานคุณรงค์ ผมก็ยังเก็บมาอีกเล่มนะครับ คือ "หลงกลิ่นกัญชา"


แต่ในช่วงที่ไม่แตะงานคุณรงค์ผมก็ได้หยิบหนังสือเล่มหนึ่งที่ผมซื้อมาเพราะว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก "I read therefore I am" อีกเล่ม คือ หนังสือ "Everyday story" ของ คุณโหน่ง วงศ์ทนง

  ปกติผมไม่เคยอ่านหนังสือของ A day เลยนะครับไม่รู้เพราะว่าไม่ค่อยเห็นหรือก่อนหน้านี้มันมีอะไรมาบัง คือไม่รู้ทำไมแต่ผมเคยฟังคุณโหน่ง ทางรายการของ จอห์น วิญญู น่าจะชื่อรายการ "A day อะไรซักอย่าง" คือผมชอบมากเลยครับกับความคิดคุณโหน่ง คือผมจำชื่อรายการไม่ได้นะ ลอง หา ๆดู 
  เกือบลืมว่าก่อนหน้าผมจะเริ่มอ่านเล่มนี้ผมได้อ่านหนังสือของ คุณ ประภาส ชลศรานนท์
เรื่อง "ผจญภัยในความรัก" 


แสดงถึงความคิดที่คมคาย ของพี่จิก ประภาสในการตอบ และไม่ตอบคำถาม ซึ่งเป็นหนังสือของพี่จิก เล่มแรกที่ผมได้อ่าน ซึ่งจะต้องมีเล่มอื่น ๆตามมาอีกแน่นอนครับ 
     ครั้งแรกที่ผมรู้จักชื่อของพี่จิก ประภาส คงจะจากการอ่านหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่งครับที่มีบทสัมภาษณ์คุณ "ธนา เธียรอัจฉริยะ " ซึ่งผมรู้สึกทึ่ง และสนใจในคุณตัว ธนาตั้งแต่ผมได้อ่านหนังสือ น่าจะเป็นเรื่อง "ลาออกซะ ถ้าอยากรวย" 


ซึ่งมีบทความที่เกี่ยวข้องกับคุณ "Sigve brekke" ที่ตอนนั้นบริหาร DTAC ของประเทศไทย และมีบทความเกี่ยวกับคุณ "ธนา เธียรอัจริยะ" ซึ่งผมจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นผมรู้สึกยังไง แต่มันทำให้ผมต้อง search google หา ประวัติ คุณ  "ธนา เธียรอัจริยะ" คุณ "Sigve brekke" ซึ่งตอนนั้นการ search ทำให้ผมได้เจอกับ Clip ที่ youtube คลิปนี้ครับ
ดูแล้วอยากไปเรียนมากเลยครับ เหมือนเป็นหนึ่งในความใฝ่ฝันว่าซักวันต้องไป หลังจากนั้นพอผมเห็น column เกี่ยวกับคุณ  "ธนา เธียรอัจริยะ" ผมก็เริ่มสนใจแล้วมีครั้งหนึ่งที่ผมอ่านเจอแล้วพี่เค้าพูดถึง พี่จิก ประภาส ชลศรานนท์ ตอนนั้นผมก็สนใจแล้วครับ (สังเกตไม่ครับผมไม่รู้จักคนดัง ๆอะไรกับเค้าเลย พอมานึกย้อนดูแล้ว เสียโอกาสไปเยอะมากเลยครับ) แต่แล้วผมก็ลืมการหาหนังสือของพี่จิก ไปนานมากจนไปงานหนังสือในครั้งนั้น เลยได้มีโอกาสซื้อหนังสือของพี่แกมาอ่าน ก็พึ่งอ่านจบไปนี่แหละประทับใจมาก 

  กลับมาที่หนังสือคุณโหน่ง วงศ์ทนง คือตอนแรกกะอ่าน สลับกับอีกเล่มที่เครียดกว่าครับเพราะว่าบทหนึ่งมันไม่ยาวมาก เลยคิดว่าเอามาอ่านคั่นหนังสืออีกเล่ม น่าจะดีครับ แต่ผิดคาด ผมอ่านแล้ววางไม่ลง สุดท้ายต้องอ่านจนหมดเล่มเลย ^^ และหนังสือที่ผมกะจะอ่านไปด้วยคือ "ชวนอ่าน และวิจารณ์หนังสือ ต่าง ๆ" ของ ส. ศิวรักษ์
  หมดแรงพิมพ์ นี่พิมพ์ที่นึงยาวมาเลยครับ ทำไมผมเยิ่นเย้อแบบนี้ ก็ไม่รู้ ปิดท้ายด้วยหนังสือเล่มล่าสุดที่พึ่งอ่านจบไป คือ 
"ลาออกซะ ถ้าอยากรวย "


  ซึ่งตอนนี้ผมกำลังจะอ่าน "What I wish I knew when I was 20"






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น